
ประวัติความเป็นมา
แม่น้ำไนล์ (The Nile River) อยู่ในทวีปแอฟริกา เป็นที่รู้จักกันว่า คือสายน้ำแห่งอารยธรรม อียิปต์ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของชีวิต การเกิดใหม่ และความเป็นอมตะของชาวอิยิปต์โบราณ หากต้องการเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์และอารยธรรมของอียิปต์ ก็ต้องศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับแม่น้ำไนล์นั่นเอง แม่น้ำไนล์ยังมีอิทธิพลและความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับอารยธรรมอื่นๆ ของโลกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ค่อยเป็น ที่กล่าวถึงกันมากนักในเรื่องถิ่นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ ในหนังสือวิทยุสราญรมย์ฉบับนี้ จึงขอนำเรื่องราวของต้นกำเนิดแม่น้ำไนล์ที่อยู่ในประเทศยูกันดาและประเทศเอธิโอเปียมาเสนอ ซึ่งจะรวมถึงเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเทศทั้งสองนี้ด้วยประเทศที่ถือว่าอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำไนล์นั้น ได้แก่ บุรุนดี รวันดา คองโก (Congo DR- เดิมชื่อ ซาอีร์) แทนซาเนียเคนยา ยูกันดา เอธิโอเปีย ซูดาน และอียิปต์ นับเป็นเวลากว่า 2,000 ปีที่ได้มีความพยายามเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ นักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ ปโตเลมี ไม่เชื่อความคิดของนักภูมิศาสตร์ก่อนๆ ที่ว่าแม่น้ำไนล์เกิดขึ้นจากมหาสมุทรอินเดีย แต่เชื่อว่ามีแหล่งกำเนิดจากที่สักแห่งหนึ่งในทวีปแอฟริกาที่อยู่ทางใต้ของ
เส้นศูนย์สูตรระหว่างแม่น้ำกับทะเลสาบในบริเวณเทือกเขาอันลึกลับที่เขาเรียกว่า “เทือกเขาแห่งพระจันทร์” (Mountains of the Moon – ปัจจุบันคือ เทือกเขารูเวนโซรี (Ruwenzori Mountains) อยู่ทางตะวันตกของประเทศยูกันดา) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์หรือหาคำตอบที่แน่ชัดได้ ดังนั้น เรื่องของต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ จึงยังเป็นความลึกลับไปอีกนาน แม้ว่าได้มีคณะนักสำรวจต่างๆ อีกมากมายที่เดินทางเข้าไปในทวีปแอฟริกาเพื่อพยายามค้นหาคำตอบดังกล่าว ซึ่งรวมถึงคณะนักสำรวจที่จัดส่งไปโดยสมาคมภูมิศาสตร์ (Royal Geographic Society) ของอังกฤษทะเลสาบทานา (Lake Tana) บริเวณที่ราบสูงในประเทศเอธิโอเปีย แม่น้ำทั้งสองสายไหลไปบรรจบกันที่เมืองคาร์ทูม (Khartoum) ในประเทศซูดาน จากนั้น เป็นแม่น้ำสายเดียวกัน รวมเรียกว่า แม่น้ำไนล์ ไหลขึ้นทางเหนือไปยังเมืองไคโร (Cairo) ประเทศอียิปต์ จากจุดนี้ แม่น้ำไนล์แยกออกเป็น 2 ช่องทาง ทางหนึ่งไหลลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่เมืองดามิตตา (Damietta) อยู่ห่างจากเมืองท่าซาอิด (Said) ประมาณ 40 ไมล์ อีกทางหนึ่งไหลไปทางเมืองราชิด (Rashid (แต่ก่อนคือเมืองโรเซตตา-Rosetta) อันเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นที่ที่ได้มีการค้นพบแท่งหิน โรเซตตา (Rosetta Stone) ทำให้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีสามารถเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับภาษาภาพ (hieroglyph) ของอียิปต์โบราณได้เอธิโอเปียนั้น ออกสีฟ้าน้ำเงิน จึงเรียกแม่น้ำสายนั้นว่า แม่น้ำไนล์น้ำเงิน (The Blue Nile) เป็นแม่น้ำสายที่สั้นกว่า
แม่น้ำไนล์ (The Nile River) อยู่ในทวีปแอฟริกา เป็นที่รู้จักกันว่า คือสายน้ำแห่งอารยธรรม อียิปต์ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของชีวิต การเกิดใหม่ และความเป็นอมตะของชาวอิยิปต์โบราณ หากต้องการเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์และอารยธรรมของอียิปต์ ก็ต้องศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับแม่น้ำไนล์นั่นเอง แม่น้ำไนล์ยังมีอิทธิพลและความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับอารยธรรมอื่นๆ ของโลกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ค่อยเป็น ที่กล่าวถึงกันมากนักในเรื่องถิ่นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ ในหนังสือวิทยุสราญรมย์ฉบับนี้ จึงขอนำเรื่องราวของต้นกำเนิดแม่น้ำไนล์ที่อยู่ในประเทศยูกันดาและประเทศเอธิโอเปียมาเสนอ ซึ่งจะรวมถึงเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเทศทั้งสองนี้ด้วยประเทศที่ถือว่าอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำไนล์นั้น ได้แก่ บุรุนดี รวันดา คองโก (Congo DR- เดิมชื่อ ซาอีร์) แทนซาเนียเคนยา ยูกันดา เอธิโอเปีย ซูดาน และอียิปต์ นับเป็นเวลากว่า 2,000 ปีที่ได้มีความพยายามเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ นักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ ปโตเลมี ไม่เชื่อความคิดของนักภูมิศาสตร์ก่อนๆ ที่ว่าแม่น้ำไนล์เกิดขึ้นจากมหาสมุทรอินเดีย แต่เชื่อว่ามีแหล่งกำเนิดจากที่สักแห่งหนึ่งในทวีปแอฟริกาที่อยู่ทางใต้ของ
เส้นศูนย์สูตรระหว่างแม่น้ำกับทะเลสาบในบริเวณเทือกเขาอันลึกลับที่เขาเรียกว่า “เทือกเขาแห่งพระจันทร์” (Mountains of the Moon – ปัจจุบันคือ เทือกเขารูเวนโซรี (Ruwenzori Mountains) อยู่ทางตะวันตกของประเทศยูกันดา) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์หรือหาคำตอบที่แน่ชัดได้ ดังนั้น เรื่องของต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ จึงยังเป็นความลึกลับไปอีกนาน แม้ว่าได้มีคณะนักสำรวจต่างๆ อีกมากมายที่เดินทางเข้าไปในทวีปแอฟริกาเพื่อพยายามค้นหาคำตอบดังกล่าว ซึ่งรวมถึงคณะนักสำรวจที่จัดส่งไปโดยสมาคมภูมิศาสตร์ (Royal Geographic Society) ของอังกฤษทะเลสาบทานา (Lake Tana) บริเวณที่ราบสูงในประเทศเอธิโอเปีย แม่น้ำทั้งสองสายไหลไปบรรจบกันที่เมืองคาร์ทูม (Khartoum) ในประเทศซูดาน จากนั้น เป็นแม่น้ำสายเดียวกัน รวมเรียกว่า แม่น้ำไนล์ ไหลขึ้นทางเหนือไปยังเมืองไคโร (Cairo) ประเทศอียิปต์ จากจุดนี้ แม่น้ำไนล์แยกออกเป็น 2 ช่องทาง ทางหนึ่งไหลลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่เมืองดามิตตา (Damietta) อยู่ห่างจากเมืองท่าซาอิด (Said) ประมาณ 40 ไมล์ อีกทางหนึ่งไหลไปทางเมืองราชิด (Rashid (แต่ก่อนคือเมืองโรเซตตา-Rosetta) อันเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นที่ที่ได้มีการค้นพบแท่งหิน โรเซตตา (Rosetta Stone) ทำให้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีสามารถเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับภาษาภาพ (hieroglyph) ของอียิปต์โบราณได้เอธิโอเปียนั้น ออกสีฟ้าน้ำเงิน จึงเรียกแม่น้ำสายนั้นว่า แม่น้ำไนล์น้ำเงิน (The Blue Nile) เป็นแม่น้ำสายที่สั้นกว่า
แม่น้ำไนล์ขาว
ที่อยู่ในเขตประเทศยูกันดา ตามประวัติกล่าวว่า นายจอห์น ฮันนิ่ง สปีค (John Hanning Speke) นักสำรวจชาวอังกฤษ คือผู้หนึ่งที่ได้พยายามค้นหาถิ่นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ ซึ่งในระหว่างการเดินทางลึกเข้าไปในเคนยานั้นเขาได้พบทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง เขาได้ตั้งชื่อว่า ทะเลสาบวิคตอเรีย (Lake Victoria) เพื่อเป็นเกียรติแก่พระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษ ในปีค.ศ. 1862 เขาได้เดินทางไปสำรวจยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลมาจากทะเลสาบวิคตอเรียและอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหมู่บ้าน เอจจินจา (Ejjinja) เขาเป็นผู้ระบุว่า ณ จุดนั้น คือต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์นั่นเอง ในช่วงแรกๆ คำกล่าวของนายสปีคได้รับการคัดค้านจากนักสำรวจอื่นๆ อย่างรุนแรง เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์น่าจะอยู่ลึกลงไปทางใต้ของทวีปแอฟริกาใกล้ๆ กับทะเลสาบแทนกันยิกา (Lake Tanganyika) จนกระทั่งในปีค.ศ. 1875 การค้นพบของนายสปีคได้รับการยืนยันจากนักสำรวจอีกผู้หนึ่งที่ชื่อ นายเฮนรี่ มอร์ตัน แสตนลี่ (Henry Morton Stanley) ไม่เคยรับรู้ว่าแม่น้ำสายนี้ไหลต่อไปยังที่ใด และไปจบลง ณ ที่ใด หรือแม้แต่ไม่เคยทราบว่าแม่น้ำสายนี้มีความสำคัญต่ออารยธรรมของมวลมนุษยชาติอย่างใด เมื่อคราวที่นายสปีคค้นพบต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์นั้น เขาได้บรรยายไว้ในบันทึกว่า เขาได้พบน้ำตกอันเป็นทัศนียภาพที่น่าสนใจที่สุดที่เขาได้เคยพบเห็นมาใน
แอฟริกา ชนพื้นเมืองเผ่า วากันดา (Waganda) ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นเรียกน้ำตกนี้ว่า ก้อนหิน เนื่องจากตรงแม่น้ำที่มีหมู่บ้านของชนพื้นเมืองเหล่านี้ มีก้อนหินใหญ่อยู่หนึ่งก้อน ซึ่งในภาษาท้องถิ่นเรียกว่า เอจจินจา ต่อมาบริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า จินจา (Jinja) นั่นเอง นายสปีคได้ตั้งชื่อน้ำตกนั้นว่า ริบปอน (Ripon Falls) เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานสมาคมภูมิศาสตร์แห่งอังกฤษในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1974 ไม่มีน้ำตกแห่งนี้อีกแล้วอันเนื่องมาจากการก่อสร้างเขื่อนในบริเวณนั้นยังมีเรือแคนู (canoes) ที่ล่องอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ เพื่อข้ามจากฝั่งของชนเผ่าบูโซกา (Busoga) ไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงแห่งอาณาจักรบูกันดา (Buganda Kingdom) แต่นายสปีคไม่ได้เคยล่องเรือข้ามฟากไป จนกระทั่งนายเฮนรี่ มอร์ตัน แสตนลี่ ได้เป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางเข้าไปถึงอาณาจักรบูกันดาเมื่อปีค.ศ. 1875 ในระหว่างที่เขาสำรวจทะเลสาบวิคตอเรียยูกันดาจะกลายเป็นสถานที่สำคัญของแอฟริกาตอนกลาง อีกทั้งจะกลายเป็นที่ตั้งของสำนักงาน โรงงาน และคลังสินค้าต่างๆ อีกด้วย ในกาลต่อมา คำพูดของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลดังกล่าวก็ได้กลายเป็นความจริงอยู่ห่างจากเมืองกัมปาลา (Kampala) นครหลวงของประเทศยูกันดาประมาณ 80 กิโลเมตร เมืองจินจายังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญทางด้านการเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกฝ้าย สำหรับพืชเกษตรอื่นๆ ก็ได้แก่ น้ำตาล กาแฟ และถั่ว นอกจากนี้ ที่บริเวณต้นแม่น้ำไนล์ของเมืองจินจา ยังมีป้ายปักไว้ ณ จุดที่แม่น้ำสายนี้ไหลออกจาก
ทะเลสาบวิคตอเรียด้วย ซึ่งตรงจุดนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,070 ฟุต(Victoria Nile) ไหลขึ้นไปทางเหนือ ผ่านเขตของอาณาจักรบูกันดา ไปทางหุบเขาแห่งทะเลสาบคโยกา (Lake Kyoga) ซึ่งในบริเวณนั้นได้มีทางน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลมาจากที่ราบสูงทางตะวันออกไหลลงไปรวมกันด้วย จากทะเลสาบคโยกา แม่น้ำสายนี้ไหลขึ้นไปทางเหนือ ผ่านน้ำตกคารูมา (Karuma Falls) ไหลต่อลงไปยังน้ำตกเมอร์ชิสัน (Murchison Falls) ซึ่งมีความลึกถึง 147 ฟุต แล้วไหลเลียบหุบเขาทรุดไปลงทะเลสาบอัลเบิร์ต
(Lake Albert) จากจุดนั้นเรียกชื่อว่า อัลเบิร์ตไนล์ (Albert Nile) ไหลต่อขึ้นทางเหนือไปจนถึงเขตประเทศซูดานที่เมืองนิมูเล (Nimule) เปลี่ยนเป็นชื่อ ไนล์ขาว (White Nile)
ที่อยู่ในเขตประเทศยูกันดา ตามประวัติกล่าวว่า นายจอห์น ฮันนิ่ง สปีค (John Hanning Speke) นักสำรวจชาวอังกฤษ คือผู้หนึ่งที่ได้พยายามค้นหาถิ่นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ ซึ่งในระหว่างการเดินทางลึกเข้าไปในเคนยานั้นเขาได้พบทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง เขาได้ตั้งชื่อว่า ทะเลสาบวิคตอเรีย (Lake Victoria) เพื่อเป็นเกียรติแก่พระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษ ในปีค.ศ. 1862 เขาได้เดินทางไปสำรวจยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลมาจากทะเลสาบวิคตอเรียและอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหมู่บ้าน เอจจินจา (Ejjinja) เขาเป็นผู้ระบุว่า ณ จุดนั้น คือต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์นั่นเอง ในช่วงแรกๆ คำกล่าวของนายสปีคได้รับการคัดค้านจากนักสำรวจอื่นๆ อย่างรุนแรง เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์น่าจะอยู่ลึกลงไปทางใต้ของทวีปแอฟริกาใกล้ๆ กับทะเลสาบแทนกันยิกา (Lake Tanganyika) จนกระทั่งในปีค.ศ. 1875 การค้นพบของนายสปีคได้รับการยืนยันจากนักสำรวจอีกผู้หนึ่งที่ชื่อ นายเฮนรี่ มอร์ตัน แสตนลี่ (Henry Morton Stanley) ไม่เคยรับรู้ว่าแม่น้ำสายนี้ไหลต่อไปยังที่ใด และไปจบลง ณ ที่ใด หรือแม้แต่ไม่เคยทราบว่าแม่น้ำสายนี้มีความสำคัญต่ออารยธรรมของมวลมนุษยชาติอย่างใด เมื่อคราวที่นายสปีคค้นพบต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์นั้น เขาได้บรรยายไว้ในบันทึกว่า เขาได้พบน้ำตกอันเป็นทัศนียภาพที่น่าสนใจที่สุดที่เขาได้เคยพบเห็นมาใน
แอฟริกา ชนพื้นเมืองเผ่า วากันดา (Waganda) ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นเรียกน้ำตกนี้ว่า ก้อนหิน เนื่องจากตรงแม่น้ำที่มีหมู่บ้านของชนพื้นเมืองเหล่านี้ มีก้อนหินใหญ่อยู่หนึ่งก้อน ซึ่งในภาษาท้องถิ่นเรียกว่า เอจจินจา ต่อมาบริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า จินจา (Jinja) นั่นเอง นายสปีคได้ตั้งชื่อน้ำตกนั้นว่า ริบปอน (Ripon Falls) เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานสมาคมภูมิศาสตร์แห่งอังกฤษในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1974 ไม่มีน้ำตกแห่งนี้อีกแล้วอันเนื่องมาจากการก่อสร้างเขื่อนในบริเวณนั้นยังมีเรือแคนู (canoes) ที่ล่องอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ เพื่อข้ามจากฝั่งของชนเผ่าบูโซกา (Busoga) ไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงแห่งอาณาจักรบูกันดา (Buganda Kingdom) แต่นายสปีคไม่ได้เคยล่องเรือข้ามฟากไป จนกระทั่งนายเฮนรี่ มอร์ตัน แสตนลี่ ได้เป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางเข้าไปถึงอาณาจักรบูกันดาเมื่อปีค.ศ. 1875 ในระหว่างที่เขาสำรวจทะเลสาบวิคตอเรียยูกันดาจะกลายเป็นสถานที่สำคัญของแอฟริกาตอนกลาง อีกทั้งจะกลายเป็นที่ตั้งของสำนักงาน โรงงาน และคลังสินค้าต่างๆ อีกด้วย ในกาลต่อมา คำพูดของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลดังกล่าวก็ได้กลายเป็นความจริงอยู่ห่างจากเมืองกัมปาลา (Kampala) นครหลวงของประเทศยูกันดาประมาณ 80 กิโลเมตร เมืองจินจายังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญทางด้านการเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกฝ้าย สำหรับพืชเกษตรอื่นๆ ก็ได้แก่ น้ำตาล กาแฟ และถั่ว นอกจากนี้ ที่บริเวณต้นแม่น้ำไนล์ของเมืองจินจา ยังมีป้ายปักไว้ ณ จุดที่แม่น้ำสายนี้ไหลออกจาก
ทะเลสาบวิคตอเรียด้วย ซึ่งตรงจุดนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,070 ฟุต(Victoria Nile) ไหลขึ้นไปทางเหนือ ผ่านเขตของอาณาจักรบูกันดา ไปทางหุบเขาแห่งทะเลสาบคโยกา (Lake Kyoga) ซึ่งในบริเวณนั้นได้มีทางน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลมาจากที่ราบสูงทางตะวันออกไหลลงไปรวมกันด้วย จากทะเลสาบคโยกา แม่น้ำสายนี้ไหลขึ้นไปทางเหนือ ผ่านน้ำตกคารูมา (Karuma Falls) ไหลต่อลงไปยังน้ำตกเมอร์ชิสัน (Murchison Falls) ซึ่งมีความลึกถึง 147 ฟุต แล้วไหลเลียบหุบเขาทรุดไปลงทะเลสาบอัลเบิร์ต
(Lake Albert) จากจุดนั้นเรียกชื่อว่า อัลเบิร์ตไนล์ (Albert Nile) ไหลต่อขึ้นทางเหนือไปจนถึงเขตประเทศซูดานที่เมืองนิมูเล (Nimule) เปลี่ยนเป็นชื่อ ไนล์ขาว (White Nile)
แม่น้ำไนล์น้ำเงิน
ที่เมืองคาร์ทูม ประเทศซูดาน แล้วไหลรวมกันเป็นแม่น้ำไนล์ผ่านประเทศอียิปต์ลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในที่สุดเกี่ยวกับประเทศต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ขาวด้วย นั่นคือ ยูกันดา เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ (236,580ตารางกิโลเมตร) ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร ในบริเวณที่ราบสูงด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกา และอยู่ระหว่างแนวเทือกเขาด้านตะวันออกและด้านตะวันตกของหุบเขาทรุดแห่งแอฟริกา (The Great Rift Valley) ที่ราบสูงตอนกลางของประเทศมีความสูงประมาณ 3,450 ฟุตจากระดับน้ำทะเล จุดที่สูงที่สุดของประเทศอยู่ทางด้านตะวันตก คือ ยอดเขามาเกริต้า (Margherita) บนเทือกเขารูเวนโซรี (Rowenzori) สูงถึง 16,762 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ในสมัยโบราณพ่อค้าชาวอาหรับเรียกเทือกเขารูเวนโซรี ว่า เทือกเขาแห่งพระจันทร์ ดังที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของปโตเลมี นักปราชญ์ชาวกรีกนั่นเอง ที่น่าสนใจคือ เทือกเขารูเวนโซรี เป็นเทือกเขาที่ไม่ใช่ภูเขาไฟ
ที่สูงที่สุดในทวีปแอฟ
ที่เมืองคาร์ทูม ประเทศซูดาน แล้วไหลรวมกันเป็นแม่น้ำไนล์ผ่านประเทศอียิปต์ลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในที่สุดเกี่ยวกับประเทศต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ขาวด้วย นั่นคือ ยูกันดา เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ (236,580ตารางกิโลเมตร) ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร ในบริเวณที่ราบสูงด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกา และอยู่ระหว่างแนวเทือกเขาด้านตะวันออกและด้านตะวันตกของหุบเขาทรุดแห่งแอฟริกา (The Great Rift Valley) ที่ราบสูงตอนกลางของประเทศมีความสูงประมาณ 3,450 ฟุตจากระดับน้ำทะเล จุดที่สูงที่สุดของประเทศอยู่ทางด้านตะวันตก คือ ยอดเขามาเกริต้า (Margherita) บนเทือกเขารูเวนโซรี (Rowenzori) สูงถึง 16,762 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ในสมัยโบราณพ่อค้าชาวอาหรับเรียกเทือกเขารูเวนโซรี ว่า เทือกเขาแห่งพระจันทร์ ดังที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของปโตเลมี นักปราชญ์ชาวกรีกนั่นเอง ที่น่าสนใจคือ เทือกเขารูเวนโซรี เป็นเทือกเขาที่ไม่ใช่ภูเขาไฟ
ที่สูงที่สุดในทวีปแอฟ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น