วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์

              1 
        อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์
 นักประศาสตร์แบ่งช่วงเวลาสามพันปีของอียิปต์ออกเป็นช่วงต่างๆ โดยเริ่มจาก
 ปลายยุคก่อนราชวงศ์ (3100 ปี ก่อนค.ศ.) เป็นยุคที่ยังไม่ได้ตั้งเป็นอาณาจักร
 ยุคอาณาจักรเก่า เริ่มตั้งแต่ 2950 - 2150 ปีก่อน ค.ศ. ประกอบด้วยราชวงศ์ที่หนึ่งถึงราชวงศ์ที่แปด
 ยุครอยต่อของอาณาจักร (2125 - 1975 ปี ก่อน ค.ศ.) ประกอบด้วยราชวงศ์ที่เก้าถึงสิบเอ็ด
 ยุคอาณาจักรกลาง เริ่มตั้งแต่ 1975 - 1520 ปีก่อน ค.ศ. ประกอบด้วยราชวงศ์ที่สิบสองถึงสิบเจ็ด
 ยุคอาณาจักรใหม่ เริ่มตั้งแต่ 1539 - 1075 ปี ก่อน ค.ศ. ประกอบด้วยราชวงศ์ที่สิบแปดถึงยี่สิบ
 ยุคปลายของอาณาจักร เริ่มตั้งแต่ 1075 - 332ปี ก่อน ค.ศ. ราชวงศ์ที่ยี่สิบเอ็ดถึงสามสิบเอ็ด ยุคนี้อียิปต์ถูกปกครองโดยชาวต่างชาติ ตั้งแต่พวกลิเบีย นูเบีย และพวกเปอร์เซีย ปีที่ 332 ก่อนคริสตกาล อียิปต์ถูกปกครองโดยราชวงศ์ปโตเลมี อดีตขุนศึกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช จนมาถึงความพ่ายแพ้ของพระนางคลีโอพัตราที่แอคติอุม (Actium) ในราว ก่อน คริสตกาล อียิปต์ก็สิ้นสุดความเป็นอาณาจักรโดยสิ้นเชิง
 ปลายยุคก่อนราชวงศ์ (3100 ปี ก่อนค.ศ.) เป็นยุคที่ยังไม่ได้ตั้งเป็นอาณาจักร
 เริ่มแรกย้อนไปเมื่อราว หนึ่งหมื่นปีก่อน ทะเลทรายซาฮารายังเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ป่าและพืชพรรณนานาชนิด ในท้องทุ่งอุดมไปด้วยสัตว์ป่าอย่างช้างและแอนทีโลป มนุษย์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ในช่วงแรกดำรงชีวิตโดยการล่าสัตว์ และทำปศุสัตว์จวบจนกระทั่งเมื่อราวเจ็ดพันปีก่อนการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้ซาฮารา ค่อยๆแห้งแล้ง และกลายเป็นทะเลทรายในท้ายที่สุดก็เหลือแต่เพียงพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำไนล์เท่านั้นที่ยังคงความสมบูรณ์อยู่ และเนื่องจากทุกปีแม่น้ำไนล์จะพัดเอา ตะกอนหน้าดินมาถมฝั่ง ทำให้พื้นดินแห่งนี้มีความอุดม สมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ผู้คนเริ่มอพยพจากพื้นที่รอบนอกเข้ามาจับจองพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำและเริ่มมีการเพาะปลูกขึ้น เผ่าชนเหล่านี้มาอาศัย รวมกันตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์และแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ เรียกว่าโนมส์ในแต่ละโนมส์จะปกครองโดยกลุ่มนักบวชซึ่งพัฒนามาจากหมอผีในสมัยหินใหม่ ต่อมาความจำเป็นในการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ทำให้ต้องมีการจัดระบบชลประทานขึ้น หัวหน้ากรรมกรผู้ควบคุมการ ชลประทานเหล่านี้ได้ถูกยกย่องให้เป็นหัวหน้านักรบของโนมส์ เมื่อขนาดของชุมชนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆก็มีการพัฒนาเป็นนครรัฐขนาดเล็กกระจัดกระจายตาม ริมฝั่งแม่น้ำดินแดนของแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งตาม

      สภาพภูมิศาสตร์เป็น อียิปต์บนและอียิปต์ล่าง
             ดินแดนของแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์เป็น อียิปต์บนและอียิปต์ล่าง เนื่องจากแม่น้ำไนล์ไหลจากทางใต้ขึ้นสู่ทางเหนือ ดังนั้นอียิปต์บนจะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำไนล์อันเป็นทิศที่แม่น้ำไหลมาพื้นที่ส่วนนี้มี ทุ่งหญ้าและเขตป่าละเมาะที่เหมาะแก่การล่าสัตว์และทำปศุสัตว์ ส่วนอียิปต์ล่างจะตั้งบริเวณทิศเหนือซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำไหลลงทะเลและมีพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่สมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกในช่วงเวลานั้นอียิปต์ล่างมีเมืองการค้าและศูนย์กลางที่สำคัญชื่อว่า บูโท ส่วนทางอียิปต์บนพลเมืองจะอาศัยอยู่หนาแน่นบริเวณเมืองนากาดา และเฮียราคอนโพลิส ในราวสี่พันปีก่อนคริสตกาลชาวอียิปต์เริ่มพัฒนารูปแบบอักษรจากรูปภาพ และกลายเป็นอักษรเฮียโรกลิฟฟิคในเวลาต่อมากำเนิดแห่งอาณาจักร ในราว 3200ปีก่อนคริสตกาล ราชาแมงป่อง (Scorpion king) ผู้ครองนครธีส (This)อันตั้งอยู่บริเวณตอนกลางแห่งลุ่มน้ำไนล์ได้กรีฑาทัพ เข้ายึดครองนครรัฐต่างๆในอียิปต์บนและตั้งตนเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรบน ราชาแมงป่องปรารถนาจะรวมอียิปต์เข้าด้วยกันแต่พระองค์สิ้นพระชนม์เสียก่อน โอรสของพระองค์(ข้อนี้นักประวัติศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักแต่จากหลักฐานที่มีแสดงว่าทั้งสองพระองค์น่าจะเกี่ยวดองกัน)นามว่า นาเมอร์(Namer)ได้สานต่อนโยบายและกรีฑาทัพเข้าโจมตีอียิปต์ล่าง จนกระทั่งมาถึงสมัยของ ฟาโรห์เมเนส(Menese)พระองค์สามารถผนวกทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกันได้สำเร็จและ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของอียิปต์โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมมฟิส (Memphis) ซึ่งอยู่ตอนกลางของลุ่มน้ำไนล์ ฟาโรห์เมเนสเป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งราชวงศ์ที่หนึ่งของอียิปต์โบราณยุคอาณาจักรเก่า เริ่มตั้งแต่ 2950 - 2150 ปีก่อน ค.ศ. ประกอบด้วยราชวงศ์ที่หนึ่งถึงราชวงศ์ที่แปด
 ยุคนี้เมืองหลวงของอียิปต์คือ นครเมมฟิส (Memphis) โดยมีพระเจ้าเมเนส (Menes) เป็นฟาโรห์พระองค์แรกที่ปกครองอียิปต์ทั้งหมด ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า องค์ฟาโรห์คือร่างประทับของสุริยเทพ ที่ลงมาปกครองมนุษย์

         การเมืองการปกครอง
              ในสังคมอียิปต์มีการแบ่งออกเป็นสามชนชั้น คือ ชนชั้นสูงได้แก่ เชื้อพระวงศ์ นักบวช ขุนนาง ชนชั้นกลางได้แก่ พ่อค้า เสมียน ช่างฝีมือ และชนชั้นล่างคือพวกชาวนาและผู้ใช้แรงงาน นอกจากฟาโรห์แล้ว บุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดคือหัวหน้านักบวชของสุริยเทพ รา ซึ่งเป็นจอมเทพสูงสุด ในการบริหารงาน ฟาโรห์จะมีคณะเสนาบดีที่นำโดย วิเซียร์ (Vizier) ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางสำคัญ เป็นผู้ช่วย และส่งข้าหลวง (Nomarch) ไปทำหน้าที่ปกครองหัวเมืองต่างๆ โดยขึ้นตรงต่อองค์กษัตริย์ ในยุคอาณาจักรเก่านี้ อียิปต์ไม่มีกองทหารประจำการ แต่จะเกณฑ์พลเมืองเข้ากองทัพเมื่อเกิดสงคราม

        ความเชื่อ: 
    เดิมทีก่อนการรวมแผ่นดิน หัวเมืองต่างๆทั้งในอียิปต์บน และ ล่าง ต่างนับถือเทพต่างๆกันต่อมาเมื่อรวมแผ่นดินแล้วก็ยังคงความเชื่อแบบพหุเทวนิยม อยู่ โดยมี รา (RA) เป็นเทพสูงสุด ชาวอียิปต์เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้สร้างโลกและสวรรค์รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง นอกจาก รา แล้ว เทพที่ชาวอียิปต์นับถือกันมากได้แก่ โอซิริส เทพแห่งยมโลกผู้มีหน้าที่ตัดสินดวงวิญญาณ เทพีไอซิสเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ,เซ็ท เทพแห่งสงคราม ,ฮาธอร์เทพีแห่งความรัก และฮอรัส เทพผู้เป็นตัวแทนของฟาโรห์ทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังมีเทพอื่นๆที่ถือเป็นเทพเจ้าประจำแต่ละเมือง

       วิถีชีวิต:
       ชาวอียิปต์โบราณดำรงชีวิตด้วยการกสิกรรม โดยเฉพาะในเขตที่ราบน้ำท่วมถึงหรือที่เรียกว่าเขตดินสีดำที่ชื่อว่า เคเมต เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ การเพาะปลูกได้ผลดี พืชผลที่ได้จะถือเป็นสมบัติของฟาโรห์และจะมีการแจกจ่ายแก่ประชาชนอย่างเหมาะสม พืชที่นิยมปลูกกันคือข้าวสาลีและข้าวบาเล่ย์ โดยพวกเขาจะใช้ข้าวสาลีทำขนมปังและทำเบียร์จากข้าวบาเล่ย์ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นอาหารหลัก ของชาวอียิปต์โบราณ และพืชผลเหล่านี้ยังใช้เป็นสินค้าส่งออกไปยังดินแดนอื่นๆอีกด้วยนอกจากการเพาะปลูกแล้วชาวอียิปต์ยังทำการจับปลา ล่านกน้ำและฮิปโปโปเตมัสในแม่น้ำไนล์โดยใช้เรือที่ผูกจากต้นกก ส่วนในเขตดินสีแดงที่เรียกว่า เชเครต ซึ่ง อยู่ในเขตอียิปต์บนพวกเขาจะทำการล่าสัตว์ป่าอย่าง แอนทีโลป และแพะป่า ซึ่งมีอยู่มากมาย บ้านเรือนของชาวอียิปต์สร้างจากอิฐตากแห้งและใช้ไม้ทำส่วนประกอบอย่างกรอบประตูเนื่องจากในอียิปต์ไม้ค่อนข้างหายาก บ้านแต่ละหลังจะมีบันไดขึ้นดาดฟ้าเนื่องจากชาวอียิปต์จะใช้ดาดฟ้าเป็นที่ทำงานต่างๆเช่นการทำขนมปัง หรือแม้แต่เป็นที่พักผ่อนนั่งคุย

    อักษรอียิปต์
     ชาวอียิปต์ใช้อักษรภาพที่เรียก ว่าเฮียโรกลิฟฟิค (Hieroglyphic) ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นรูปภาพและแบบที่เป็นสัญลักษณ์ประกอบเป็นคำ โดยจะบันทึกลงในแผ่นหินและม้วนกระดาษปาปิรัสซึ่งทำจากต้นกก ตัวอักษรอียิปต์มีประมาณ 1000 ตัว ในสมัยก่อน ผู้ที่สามารถอ่านเขียนอักษรเฮียโรกลิฟฟิคได้คล่องแคล่วจะมีโอกาสได้ทำงานเป็นอาลักษณ์ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสที่จะเลื่อนขึ้นเป็นขุนนาง หรือนักบวชสำคัญได้ สำหรับอักษรของอียิปต์นั้น นับแต่อารยธรรมล่มสลายลงไปก็ไม่มีใครสามารถตีความได้ จนกระทั่งได้มีการค้นพบ ศิลาจารึก โรเซทต้า (ROSETTA) ในปี ค.ศ. 1799 ที่มีจารึกอักษรเฮียโรกลิฟฟิคกับอักษรกรีกโบราณเอาไว้ ฟรองซัวส์ ชองโพลียอง ใช้วิธีการค้นคว้าโดยอ่านเทียบกับอักษรกรีกโบราณ และสามารถตีความได้สำเร็จในปี 1822

    การทำมัมมี่:
    ถูกทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ที่4และมีเรื่อยมาจนถึงค.ศ.641 ชาวอียิปต์เชื่อว่าหลังจากที่มนุษย์ ตายไปแล้วดวงวิญญาณจะกลับมาเกิดใหม่ในร่างเดิมจึงต้องเก็บร่างเอาไว้เพื่อรอรับการเกิดใหม่ในยุค อาณาจักรเก่าเชื่อว่ามีเพียงฟาโรห์เท่านั้นที่จะกลับมาคืน ร่างเดิมแต่ในสมัยต่อมาการทำมัมมี่ได้แพร่หลายสู่ขุนนางและสามัญชนแม้กระทั่งสัตว์ที่เป็นสัญลักณ์ ของเทพเจ้าในการทำมัมมี่ชาวอียิปต์จะนำสมองและอวัยวะภายในออกจากศพและนำศพไปชำระล้างใน แม่น้ำไนล์จากนั้นจะนำไปแช่ในน้ำยานาตรอน(Natron)ซึ่งเป็นสารพวกsodium Carbonate โดยเปลี่ยนน้ำยาทุกสามวันและแช่ประมาณหกสิบวันจนศพแห้งและนำมาพันด้วยผ้าลินิน ส่วนอวัยวะภายในและสมองจะนำไปผสมกับเครื่องหอมและทำให้แห้งด้วยสมุนไพรจากนั้น จึงนำไปดองในน้ำยานาตรอนประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะนำมาเก็บในโถคาโนปิก (Canopic) สี่ใบและนำไปเก็บรวมกับหีบศพในสุสานพร้อมข้าวของเครื่องใช้และสมบัติเพื่อรอการกลับมาของวิญญาณ

    พีระมิดยักษ์
       เป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุด เดิมทีฟาโรห์จะสร้างห้องเก็บพระศพขนาดใหญ่เป็น สุสาน ต่อมาในสมัยของฟาโรห์โซเซอร์ แห่งราชวงศ์ที่สาม (2650ปีก่อน ค.ศ.) อิมโฮเทปที่ปรึกษาของฟาโรห์ ซึ่งเป็นนักปราชญ์และสถาปนิกที่มีความสามารถ ได้ทำการออกแบบ พีระมิดขั้นบันไดที่เรียกว่า มาสตาบา (Mastaba) ที่เมืองซักคาราขึ้น นอกจากเป็นผู้ออกแบบพีระมิดแล้ว อิมโฮเทปยังมีผลงานประพันธ์ต่างๆมากมายทั้งวรรณคดีและตำราเภสัชศาสตร์ ชาวอียิปต์รุ่นหลังนับถือเขาในฐานะเทพแห่งความรู้ หลังจากยุคของฟาโรห์โซเซอร์ ก็ได้มีการสร้างพีระมิดขั้นบันไดต่อมาและค่อยๆพัฒนากลายเป็นแบบสามเหลี่ยม โดยพีระมิดที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ พีระมิดยักษ์ของฟาโรห์คูฟูที่เมืองกีซา ซึ่งมีความสูงถึง 147 เมตรและได้ชื่อว่า เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

  การต่างประเทศ:
    ในยุคอาณาจักรเก่าอียิปต์มีการค้าขายกับเพื่อนบ้านทั้งในเมโสโปเตเมีย (อยู่ในตะวันออกกลาง)และอาณาจักรนูเบียทางภาคใต้(ปัจจุบันคือซูดาน)ในยุคนี้ไม่มีการใช้เงิน การค้าจะทำในแบบของแลกของ โดยสินค้าออกสำคัญของอียิปต์คือพืชผลทางการเกษตร แลกกับสินค้าพวกไม้หอม งาช้าง เครื่องแกะสลัก เป็นต้น แทบไม่มีหลักฐานของการสงครามขนาดใหญ่ในยุคนี้นอกจากหลักฐานการรบกับพวกเรร่อนเบดูอิน ในพรมแดนปาเลสไตน์สมัยฟาโรห์เปปิที่1 แห่งราชวงศ์ที่6 กล่าวได้ว่าสงครามใหญ่เพียงครั้งเดียวของยุคนี้คือสงครามรวมชาติตอนต้นราชวงศ์ที่หนึ่งเท่านั้น

ยุครอยต่อของอาณาจักร (2125 - 1975 ปี ก่อน ค.ศ.) ประกอบด้วยราชวงศ์ที่เก้าถึงสิบเอ็ด

นับแต่ก่อตั้งอาณาจักร ดินแดนอียิปต์มีแต่ความสงบสุขและรุ่งเรือง ปราศจากจากสงครามและการคุกคามจากชนต่างชาติ แม่น้ำไนล์พัดพาความอุดมสมบูรณ์มาพร้อมกับดินตะกอนสีดำ ความสงบสุขดำเนินมาจนถึงปีที่2200ก่อนคริสตกาล อันเป็นปีเริ่มต้นของยุคแห่งความวุ่นวายและการนองเลือด สาเหตุของความวุ่นวายในดินแดนไอยคุปต์มีที่มาจากประเพณีของฟาโรห์ใน การพระราชทานรางวัลแก่ขุนนางที่มีความชอบเนื่องจากในยุคนั้นไม่มีการ ใช้เงินตราและสิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือ ที่ดิน

กล่าวคือฟาโรห์จะพระราชทานที่ดินให้แก่ขุนนางที่ทำความดีความชอบ โดยที่ดินดังกล่าวจะต้องกลับคืนเป็นของราชสำนักอีกครั้ง เมื่อขุนนางสิ้นชีวิตลงแต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ขุนนางเริ่มท้าทายอำนาจฟาโรห์ โดยการแอบโอนถ่ายที่ดินให้แก่ลูกหลาน จนในที่สุดก็กลายเป็นธรรมเนียมว่า ขุนนางสามารถโอนถ่ายที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์สู่ลูกหลานได้ และนำไปสู่การสร้างเขตอิทธิพลของแต่ละตระกูลเหล่าขุนนางต่างสะสมที่ดินและกำลังคนมากขึ้น อำนาจของฟาโรห์ถูกกัดกร่อนลงเรื่อยๆและกลุ่มอิทธิพลที่ทรงอำนาจมากที่สุดก็คือเหล่าหัวหน้านักบวชในอาราม สุริยเทพ-รา

ปีที่ 2180 ก่อน ค.ศ. อำนาจรัฐของฟาโรห์ที่เมมฟิส สิ้นสุดลง บรรดานครรัฐต่างตั้งตนเป็นอิสระและทำสงครามรบพุ่งกันเอง ดินแดนแม่น้ำไนล์ที่เคยอุดมสมบูรณ์เกิดภัยแล้งติดต่อกันเป็นเวลานาน ฟาโรห์อ่อนแอเกินกว่าที่จะสร้างระบบชลประทานขึ้นมา แก้ปัญหาได้ความอดอยากและภัยสงครามแพร่กระจายทั่วแผ่นดินในที่สุดอิยิปต์ถูกแบ่งเป็นสองเขต คืออิยิปต์ต่ำ ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมมฟิสถูกปกครองโดยตระกูลหนึ่งจากเมืองเฮรักลีโอโพลิส(Herakleopolis) ส่วนอีกเขตหนึ่งคืออียิปต์สูงที่อยู่ทางใต้ของเมมฟิสถูกปกครองโดยตระกูลจากเมืองธีบีส(Thebes) และแล้วในปีที่ 1975ก่อนค.ศ.เจ้าชายนักรบจากธีบีสได้ทำสงครามผนวกอียิปต์ทั้งหมด และ ขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์ ทรงพระนามว่า มอนตูโฮเทปที่ 2 (Montuhotep)

ยุคอาณาจักรกลาง เริ่มตั้งแต่ 1975 - 1520 ปีก่อน ค.ศ. ประกอบด้วยราชวงศ์ที่สิบสองถึงสิบเจ็ด

พระเจ้ามอนตูโฮเทป ที่2 ได้สร้างเมืองหลวงใหม่ที่ ธีบีส ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงสร้างโบสถ์ใหญ่อันสวยงามที่ เดียร์ เอล-บาฮารี (Deir el-Bahari) โบสถ์นี้ยังเป็นที่ฝังพระศพของพระองค์อีกด้วย ต่อมาในสมัยของมอนตูโฮเทปที่ 4 พระองค์ถูกแย่งชิงราชสมบัติ โดยขุนศึกนาม อาเมเนมฮัท(Amenamhat) ซึ่งได้ตั้งราชวงศ์ที่12 ขึ้น ราชวงศ์ที่12นี้ได้นำความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองกลับมา สู่อียิปต์อีกครั้ง มีการทำเหมืองแร่และอู่ต่อเรือ นอกจากนี้มีการสร้างพีระมิดขนาดใหญ่ขึ้น หลายแห่งการเพาะปลูกอุดมสมบูรณ์

ชาวอียิปต์ได้ฟื้นฟูเส้นทางการค้าต่างประเทศขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่หยุดชะงักไปมีการส่งกองเรือสินค้า ไปค้าขายกับชาวต่างชาติเช่น ครีทและเลบานอน ในยุคนี้ อียิปต์ยังทำศึกกับพวกนูเบียทางใต้(ปัจจุบันคือ ซูดาน)และแผ่อิทธิพลไปทางภาคตะวันตกเพื่อป้องกันเส้นทางการค้า นอกจากนี้เครื่องบรรณาการเช่นทองคำและทาสเชลย ที่ชาวอียิปต์ได้จากการทำสงคราม ก็ทำเศรษฐกิจของอียิปต์เจริญรุ่งเรืองขึ้น อำนาจของฟาโรห์กลับมายิ่งใหญ่และมั่งคั่งอีกครั้งหนึ่ง

นักรบนูเบีย: พวกนูเบียนเป็นกลุ่มชนผิวดำ ดินแดนนูเบียนั้น ตั้งอยู่ดินแดนทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ (ทางใต้ของอียิปต์) แต่เดิมทีอียิปต์ ทางอียิปต์ได้ส่งคณะเดินทางไปยังนูเบีย เพื่อนำงาช้าง หินสำหรับก่อสร้างและสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ กลับมาอียิปต์ ในสายตาของชาวอียิปต์นั้นถือว่าพวกนูเบียเป็นชนป่าเถื่อนที่มีอารยธรรมด้อยกว่าตน ในช่วงยุคมืด พวกนูเบียคุกคามพรมแดนด้านใต้ของอียิปต์

ต่อมาในยุคอาณาจักรกลางและได้เกณเชลยศึกชาวนูเบียเข้ามาเป็นทหารในกองทัพ นอกจากนี้ยังมีนักรบนูเบียบางที่มีความสามารถ ได้รับตำแหน่งนายพลของกองทัพอียิปต์ด้วย ชาวนูเบียนรับอารยธรรมต่างๆของอียิปต์มาใช้ รวมทั้งความเชื่อทางศาสนาและการสร้างพีระมิดด้วย

การรุกรานของชนต่างชาติ {The invasion from Asia} 1630 - 1520 ก่อน ค.ศ.

ในช่วงเวลานี้ได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น นั่นคือการรุกรานของพวก ฮิกโซส (Hyksos) ซึ่งในภาษาอียิปต์แปลว่า " กษัตริย์ต่างชาติ " ชนเผ่านี้อพยพมาจากทุ่งหญ้าในเอเชียและทำสงครามโค่นล้มราชวงศ์อียิปต์ พวกฮิกโซสมีชัยชนะเหนืออียิปต์ได้ด้วย รถศึกและม้า ซึ่งชาวอียิปต์ไม่เคยรู้จักมาก่อน

รถศึกเป็นการผสมผสานระหว่างความเร็วกับอานุภาพการยิง โดยมือธนูจะอยู่บนรถศึกและยิงทำลายแนวรบของศัตรู ทหารอียิปต์ที่มีเพียงพลเดินเท้าเป็นหลักไม่อาจต้านทานอานุภาพของ รถศึกได้ ในที่สุดพวกฮิกโซสจึงสามารถก่อตั้งราชวงศ์ปกคริงอียิปต์ได้สำเร็จ โดยตั้งเมืองหลวงชื่อ อวารีส(Avaris) ขึ้นที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ และครอบครองดินแดนส่วนเหนือของประเทศ พวกฮิกโซสนำอียิปต์สู่โลกภายนอกและนำวิทยาการใหม่ๆมาสู่อียิปต์ พวกฮิกโซสได้ปรับวัฒนธรรมและศาสนาของชาวอียิปต์เข้าด้วยกัน แม้จะใช้วัฒนธรรมอียิปต์ แต่ในสายตาชาวอียิปต์

พวกฮิกโซสก็ยังเป็นผู้รุกรานที่น่ารังเกียจ ในเวลาที่พวกฮิกโซสตั้งราชวงศ์นั้น พวกอียิปต์ก็ได้ตั้งราชวงศ์ที่17 อยู่ที่ธีบีส โดยยอมอ่อนข้อให้พวกฮิกโซส ในตอนแรก แต่หลังจากนั้นธีบีสก็ลุกขึ้นทำสงครามกับฮิกโซสในการสงครามฟาโรห์สอง พระองค์ของ ธีบีสคือฟาโรห์เซเกนองแร(Sequenenre) และฟาโรห์กาโมส(Kamose) สิ้นพระชนม์ในสนามรบและในที่สุดฟาโรห์อาห์โมซิส(Amosis) ก็สามารถขับไล่พวกฮิกโซสออกไปได้สำเร็จ และก่อตั้งราชวงศ์ที่18ขึ้น

ยุคอาณาจักรใหม่ (New kingdom) 1539 - 1075 ปีก่อน ค.ศ.

นักประวัติศาสตร์ต่างยอมรับกันว่ายุคนี้เป็นยุคที่อียิปต์รุ่งเรืองที่สุด โดยหลังจากพวกฮิกโซสถูกขับไล่ไปแล้ว อำนาจของฟาโรห์ เหนือนครต่างๆในลุ่มน้ำไนล์กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ ในยุคของฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 (Thutmosis) แห่งราชวงศ์ที่ 18 ในยุคนี้เมืองหลวงของอียิปต์คือนครธีบส์(Thebes) และฝั่งตรงข้ามของเมืองหลวงคือ หุบเขาแห่งกษัตริย์อันเป็นสถานที่ฝังพระศพฟาโรห์

ในยุคอาณาจักร ใหม่นี้ ทั้งนี้ชาวอียิปต์ได้ยกเลิกประเพณีการสร้างพีระมิดไปตั้งแต่ตอนปลาย ของอาณาจักรเก่าเนื่องจากสิ้น เปลืองวัตถุดิบและหันมาใช้วิธีเจาะหน้าผาเป็นสุสานแทน นอกจากธีบส์แล้วทุตโมซิสที่1 ยังได้สร้างนครอบีดอส (Abidos)ให้เป็นเมืองสำคัญในสมัยของฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 นี้เมืองหลวงคือ กรุงธีบส์เจริญรุ่งเรืองมากมีการสร้างวิหารขนาดใหญ่เพื่อบูชาแด่เทพเจ้า ซึ่งก็รวมทั้งมหาวิหารคาร์นัค นอกจากนี้ อียิปต์ยังได้เริ่มการแผ่อำนาจเข้าไปในดินแดนเอเชียตะวันออกใกล้และนูเบีย อีกด้วย

การเสื่อมและการล่มสลายของอียิปต์ (ปีที่1075 - 332 ก่อน ค.ศ.)

หลังการสวรรคตของรามเสสที่2 และโอรสของพระองค์มเนปตาห์ ขึ้นครองราชย์ จักรวรรดิอียิปต์เริ่มส่อเค้าวุ่นวาย บรรดาเมืองขึ้นต่างๆ เช่นนูเบียและลิเบียได้ก่อกบฎขึ้นแต่โชคดีที่ทางอียิปต์สามารถปราบปรามลงได้ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองทางฝ่ายฮิตไตท์ประสบภาวะ แห้งแล้งขาดแคลนอาหารทำให้ทางอียิปต์ต้องส่งอาหารไปช่วยตามข้อตกลงที่มีในสมัยรามเสสที่2 หลังการสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์มเนปตาห์อียิปต์ต้องพบกับปํญหาการเมืองภายในฟาโรห์แต่ละองค์ครองราชย์เพียงช่วงสั้นๆ จนมาถึงปีที่1186ก่อนค.ศ.ฟาโรห์รามเสสที่3ขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงได้รับการยอมรับจากทุกกลุ่ม ทำให้ปัญหาการเมืองภายในหมดไป แต่ในช่วงที่อียิปต์เริ่มจะฟื้นตัวนั้นเหตุการณ์สำคัญก็ได้เกิดขึ้น

การมาถึงของชนทะเล (Sea people)

หลังการครองราชย์ของรามเสสที่3 ทางด้านเมดิเตอเรเนียนได้เกิดความวุ่นวาย เนื่องจากภาวะแห้งแล้ง ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการรุกรานและการอพยพจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ประชาชนจากเมดิเตอเรเนียนต้องอพยพออกจากถิ่นฐานเดิม กลุ่มชนเหล่านี้ถูกเรียกว่าชาวทะเล(sea people) นักรบชาวทะเลเหล่านี้ประกอบด้วยคนเชื้อชาติต่างๆ เช่นไมซีเน่ อีเจียน ฟิลิสทีนแม้กระทั่งชาวซีเรียโดยพวกเขาได้เข้ารุกรานและทำลายบ้านเมืองต่างๆเรื่อยมา

สิ่งที่พวกนี้ต้องการ คือดินแดนใหม่ที่ อุดมสมบูรณ์ซึ่งพวกเขาจะตั้งถิ่นฐานได้ นอกจากนี้ชาวทะเลเหล่านี้ยังได้เข้าโจมตีและทำลายนครฮัตตูซัสเมืองหลวงของจักรวรรดิฮิตไตท์จน ราบคาบจากนั้นชาวทะเลจึงมุ่งหน้ามายังอียิปต์ดินแดนอู่ข้าวอู่น้ำของโลกโบราณ และในปีที่1179 ก่อน ค.ศ. สงครามระหว่างชาวทะเลกับอียิปต์ก็เกิดขึ้น

ฟาโรห์รามเสสที่3 สามารถพิชิตกองทัพชาวทะเลได้ทั้งทางบกและทางน้ำ ทำให้สามารถปกป้องจักรวรรดิได้สำเร็จชื่อเสียงของพระองค์เลื่องระบือ หลังสงครามพระองค์ยังปราบปรามพวกลิเบียที่ก่อกบฎลงได้ ทำให้จักรวรรดิเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งแต่ทว่าสงครามที่ยาวนานทำให้อียิปต์สูญเสียกำลัง คนไปมากการค้าก็หดหายไปทำให้อียิปต์ขาดรายได้และท่ามกลาง ปัญหานี้เองรามเสสที่3 ก็สวรรคตลง





 สมาชิกในกลุ่ม 
นายทัศพล วิลา  เลขที่ 12 
นางสาวจามจุรี จันที เลขที่ 24
นางสาวศวิตา ศรีนวล เลขที่ 27
นางสาวกมลวรรณ คำสวัสดิ์ เลขที่ 28
ชั้น ม.4/5
โรงเรียนเดชอุดม 

ความเป็นมาแม่น้ำไนล์

                                                
ประวัติความเป็นมา
  แม่น้ำไนล์ (The Nile River)  อยู่ในทวีปแอฟริกา เป็นที่รู้จักกันว่า คือสายน้ำแห่งอารยธรรม  อียิปต์  เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของชีวิต การเกิดใหม่ และความเป็นอมตะของชาวอิยิปต์โบราณ  หากต้องการเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์และอารยธรรมของอียิปต์ ก็ต้องศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับแม่น้ำไนล์นั่นเอง  แม่น้ำไนล์ยังมีอิทธิพลและความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับอารยธรรมอื่นๆ ของโลกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม  ยังไม่ค่อยเป็น  ที่กล่าวถึงกันมากนักในเรื่องถิ่นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ ในหนังสือวิทยุสราญรมย์ฉบับนี้ จึงขอนำเรื่องราวของต้นกำเนิดแม่น้ำไนล์ที่อยู่ในประเทศยูกันดาและประเทศเอธิโอเปียมาเสนอ  ซึ่งจะรวมถึงเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเทศทั้งสองนี้ด้วยประเทศที่ถือว่าอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำไนล์นั้น ได้แก่ บุรุนดี รวันดา คองโก (Congo DR- เดิมชื่อ ซาอีร์) แทนซาเนียเคนยา ยูกันดา เอธิโอเปีย ซูดาน และอียิปต์  นับเป็นเวลากว่า 2,000 ปีที่ได้มีความพยายามเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์  นักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ ปโตเลมี ไม่เชื่อความคิดของนักภูมิศาสตร์ก่อนๆ ที่ว่าแม่น้ำไนล์เกิดขึ้นจากมหาสมุทรอินเดีย แต่เชื่อว่ามีแหล่งกำเนิดจากที่สักแห่งหนึ่งในทวีปแอฟริกาที่อยู่ทางใต้ของ
เส้นศูนย์สูตรระหว่างแม่น้ำกับทะเลสาบในบริเวณเทือกเขาอันลึกลับที่เขาเรียกว่า เทือกเขาแห่งพระจันทร์”  (Mountains of the Moon – ปัจจุบันคือ เทือกเขารูเวนโซรี (Ruwenzori Mountains) อยู่ทางตะวันตกของประเทศยูกันดา)  อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์หรือหาคำตอบที่แน่ชัดได้ ดังนั้น เรื่องของต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ จึงยังเป็นความลึกลับไปอีกนาน แม้ว่าได้มีคณะนักสำรวจต่างๆ อีกมากมายที่เดินทางเข้าไปในทวีปแอฟริกาเพื่อพยายามค้นหาคำตอบดังกล่าว ซึ่งรวมถึงคณะนักสำรวจที่จัดส่งไปโดยสมาคมภูมิศาสตร์ (Royal Geographic Society) ของอังกฤษทะเลสาบทานา (Lake Tana) บริเวณที่ราบสูงในประเทศเอธิโอเปีย  แม่น้ำทั้งสองสายไหลไปบรรจบกันที่เมืองคาร์ทูม (Khartoum) ในประเทศซูดาน  จากนั้น เป็นแม่น้ำสายเดียวกัน รวมเรียกว่า แม่น้ำไนล์ ไหลขึ้นทางเหนือไปยังเมืองไคโร (Cairo) ประเทศอียิปต์  จากจุดนี้ แม่น้ำไนล์แยกออกเป็น 2 ช่องทาง ทางหนึ่งไหลลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่เมืองดามิตตา  (Damietta)  อยู่ห่างจากเมืองท่าซาอิด (Said) ประมาณ 40 ไมล์  อีกทางหนึ่งไหลไปทางเมืองราชิด (Rashid (แต่ก่อนคือเมืองโรเซตตา-Rosetta)  อันเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นที่ที่ได้มีการค้นพบแท่งหิน โรเซตตา (Rosetta Stone)  ทำให้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีสามารถเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับภาษาภาพ  (hieroglyph) ของอียิปต์โบราณได้เอธิโอเปียนั้น ออกสีฟ้าน้ำเงิน จึงเรียกแม่น้ำสายนั้นว่า แม่น้ำไนล์น้ำเงิน (The Blue Nile) เป็นแม่น้ำสายที่สั้นกว่า

แม่น้ำไนล์ขาว
           ที่อยู่ในเขตประเทศยูกันดา ตามประวัติกล่าวว่า นายจอห์น ฮันนิ่ง สปีค (John Hanning Speke) นักสำรวจชาวอังกฤษ คือผู้หนึ่งที่ได้พยายามค้นหาถิ่นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ ซึ่งในระหว่างการเดินทางลึกเข้าไปในเคนยานั้นเขาได้พบทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง เขาได้ตั้งชื่อว่า ทะเลสาบวิคตอเรีย (Lake Victoria) เพื่อเป็นเกียรติแก่พระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษ ในปีค.ศ. 1862 เขาได้เดินทางไปสำรวจยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลมาจากทะเลสาบวิคตอเรียและอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหมู่บ้าน เอจจินจา (Ejjinja)  เขาเป็นผู้ระบุว่า ณ จุดนั้น คือต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์นั่นเอง ในช่วงแรกๆ คำกล่าวของนายสปีคได้รับการคัดค้านจากนักสำรวจอื่นๆ อย่างรุนแรง เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์น่าจะอยู่ลึกลงไปทางใต้ของทวีปแอฟริกาใกล้ๆ กับทะเลสาบแทนกันยิกา (Lake Tanganyika) จนกระทั่งในปีค.ศ. 1875 การค้นพบของนายสปีคได้รับการยืนยันจากนักสำรวจอีกผู้หนึ่งที่ชื่อ นายเฮนรี่ มอร์ตัน แสตนลี่ (Henry Morton Stanley)  ไม่เคยรับรู้ว่าแม่น้ำสายนี้ไหลต่อไปยังที่ใด และไปจบลง ณ ที่ใด หรือแม้แต่ไม่เคยทราบว่าแม่น้ำสายนี้มีความสำคัญต่ออารยธรรมของมวลมนุษยชาติอย่างใด เมื่อคราวที่นายสปีคค้นพบต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์นั้น เขาได้บรรยายไว้ในบันทึกว่า เขาได้พบน้ำตกอันเป็นทัศนียภาพที่น่าสนใจที่สุดที่เขาได้เคยพบเห็นมาใน
แอฟริกา ชนพื้นเมืองเผ่า วากันดา (Waganda) ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นเรียกน้ำตกนี้ว่า ก้อนหิน เนื่องจากตรงแม่น้ำที่มีหมู่บ้านของชนพื้นเมืองเหล่านี้ มีก้อนหินใหญ่อยู่หนึ่งก้อน ซึ่งในภาษาท้องถิ่นเรียกว่า เอจจินจา ต่อมาบริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า จินจา (Jinja) นั่นเอง นายสปีคได้ตั้งชื่อน้ำตกนั้นว่า ริบปอน (Ripon Falls) เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานสมาคมภูมิศาสตร์แห่งอังกฤษในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1974 ไม่มีน้ำตกแห่งนี้อีกแล้วอันเนื่องมาจากการก่อสร้างเขื่อนในบริเวณนั้นยังมีเรือแคนู (canoes) ที่ล่องอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ เพื่อข้ามจากฝั่งของชนเผ่าบูโซกา (Busoga) ไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงแห่งอาณาจักรบูกันดา (Buganda Kingdom) แต่นายสปีคไม่ได้เคยล่องเรือข้ามฟากไป จนกระทั่งนายเฮนรี่ มอร์ตัน แสตนลี่ ได้เป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางเข้าไปถึงอาณาจักรบูกันดาเมื่อปีค.ศ. 1875 ในระหว่างที่เขาสำรวจทะเลสาบวิคตอเรียยูกันดาจะกลายเป็นสถานที่สำคัญของแอฟริกาตอนกลาง อีกทั้งจะกลายเป็นที่ตั้งของสำนักงาน โรงงาน และคลังสินค้าต่างๆ อีกด้วย  ในกาลต่อมา คำพูดของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลดังกล่าวก็ได้กลายเป็นความจริงอยู่ห่างจากเมืองกัมปาลา (Kampala) นครหลวงของประเทศยูกันดาประมาณ 80 กิโลเมตร เมืองจินจายังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญทางด้านการเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกฝ้าย สำหรับพืชเกษตรอื่นๆ ก็ได้แก่ น้ำตาล กาแฟ และถั่ว นอกจากนี้ ที่บริเวณต้นแม่น้ำไนล์ของเมืองจินจา ยังมีป้ายปักไว้ ณ จุดที่แม่น้ำสายนี้ไหลออกจาก
ทะเลสาบวิคตอเรียด้วย ซึ่งตรงจุดนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,070 ฟุต(Victoria Nile) ไหลขึ้นไปทางเหนือ ผ่านเขตของอาณาจักรบูกันดา ไปทางหุบเขาแห่งทะเลสาบคโยกา (Lake Kyoga) ซึ่งในบริเวณนั้นได้มีทางน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลมาจากที่ราบสูงทางตะวันออกไหลลงไปรวมกันด้วย จากทะเลสาบคโยกา แม่น้ำสายนี้ไหลขึ้นไปทางเหนือ ผ่านน้ำตกคารูมา (Karuma Falls) ไหลต่อลงไปยังน้ำตกเมอร์ชิสัน (Murchison Falls) ซึ่งมีความลึกถึง 147 ฟุต แล้วไหลเลียบหุบเขาทรุดไปลงทะเลสาบอัลเบิร์ต
(Lake Albert)  จากจุดนั้นเรียกชื่อว่า อัลเบิร์ตไนล์ (Albert Nile) ไหลต่อขึ้นทางเหนือไปจนถึงเขตประเทศซูดานที่เมืองนิมูเล (Nimule) เปลี่ยนเป็นชื่อ ไนล์ขาว (White Nile)
แม่น้ำไนล์น้ำเงิน
   ที่เมืองคาร์ทูม ประเทศซูดาน แล้วไหลรวมกันเป็นแม่น้ำไนล์ผ่านประเทศอียิปต์ลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในที่สุดเกี่ยวกับประเทศต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ขาวด้วย นั่นคือ ยูกันดา เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ (236,580ตารางกิโลเมตร) ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร ในบริเวณที่ราบสูงด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกา และอยู่ระหว่างแนวเทือกเขาด้านตะวันออกและด้านตะวันตกของหุบเขาทรุดแห่งแอฟริกา (The Great Rift Valley) ที่ราบสูงตอนกลางของประเทศมีความสูงประมาณ 3,450 ฟุตจากระดับน้ำทะเล จุดที่สูงที่สุดของประเทศอยู่ทางด้านตะวันตก คือ ยอดเขามาเกริต้า (Margherita) บนเทือกเขารูเวนโซรี (Rowenzori) สูงถึง 16,762 ฟุตจากระดับน้ำทะเล  ในสมัยโบราณพ่อค้าชาวอาหรับเรียกเทือกเขารูเวนโซรี ว่า เทือกเขาแห่งพระจันทร์ ดังที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของปโตเลมี นักปราชญ์ชาวกรีกนั่นเอง ที่น่าสนใจคือ เทือกเขารูเวนโซรี เป็นเทือกเขาที่ไม่ใช่ภูเขาไฟ
ที่สูงที่สุดในทวีปแอฟ